วันอาทิตย์ที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2553

***...ครั้งหนึ่งในชีวิตกับทริปอาจารย์จิ๋ว...***

วันที่ 10 กรกฎาคม 2553  (Intro Field Trip)
บ้านเขาแก้ว
   ก่อนที่จะเริ่มต้นการเดินทางอันยาวนานทั้ง 9 วันก็จะมีการ Intro Field Trip 
กันที่ "บ้านเขาแก้ว ของ อ.ทรงชัย จังหวัด สระบุรี"  การเดินทางจากคณะมายังสระบุรีใช้เวลาไม่นานก็มาถึงบ้านเขาแก้ว   ความรู้สึกแรกได้สัมผัสคือบรรยากาศที่ร่มรื่นอบอวนไปด้วยธรรมชาติ   ตั้งแต่ซุ้มประตูหน้าทางเข้าบ้านที่ใช้การตกแต่งด้วยต้นไม้มาปกคลุมทำให้เกิดความหน้าสนใจ
ซุ้มประตูหน้าบ้าน
  และเมื่อเข้ามาก็จะพบกับศาลาที่ตรงกลางเป็นทางเดินสำหรับเข้าบ้านและยังเป็นที่นั่งพักผ่อนหรือใช้รับแขกก่อนที่จะเข้าบ้านและเป็นการเชื่อมกันระหว่างคูน้ำหน้าบ้านเข้ากับพื้นที่บ้านได้เป็นอย่างดีและเิกิดความสวยงามอีกด้วย
ศาลาทางเดิน
   เมื่อเดินผ่านศาลามาก็จะพบกับลานเดินซึ่งถือเป็นเอกลักษณ์ของบ้านไทยที่สะท้อนประโยชน์ใช้สอยและวิถีชีวิตของคนไทยได้อีกด้วย...
ลานดินหน้าบ้าน
    บริเวณหลังบ้านจะกั้นพื้นที่ด้วยคูน้ำเช่นเดิมและมีซุ้มประตูเชื่อมพื้นที่ระหว่างพื้นที่หน้าบ้านกับพื้นที่ด้านหลังซึ่งจะประกอบด้วยเรือนไทย 3 หลังที่สามารถเดินเชื่อมถึงกันได้

ซุ้มประตู
    และมีบ่อน้ำอยู่ตรงกลางที่โอบล้อมไปด้วยเรือนไทยทั้ง 3 เรือนเป็นพื้นที่ที่มีบรรยากาศดีมาก   ร่มเย็นและแวดล้อมไปด้วยธรรมชาติทำให้นึกถึงบรรยากาศของบ้านเรือนไทยในสมัยก่อนและบางมุมก็ยังคุ้นตาเหมือนฉากในละครโทรทัศน์ย้อนยุคในหลายๆเรื่องที่เคยไปดู   
อ.ทรงชัยเล่าว่ามีละครมาถ่ายอยู่หลายเรื่อง

    หลังจากอิ่มเอมกับบรรยากาศที่สุดแสนเกินกว่าจะบรรยายก็ข้ามถนนไปยังฝั่งตรงข้ามกับบ้านเขาแก้ว   ก็จะพบกับ "หอวัฒนาธรรมพื้นบ้านไทยวน"


ลานการแสดง
    หอวัฒนาธรรมพื้นบ้านไทยวนเป็นสถานที่ที่รวบรวมศิลปะวัฒนธรรม  ประเพณีของชาว
ไทยวนที่ย้ายมาตั้งถิ่นฐานที่สระบุรี   ลักษณะตัวอาคารเป็นแบบไทยภาคเหนือดังเดิมมีการจัดสรรพื้นที่ในแต่ละการใช้งานอย่างชัดเจนไม่ว่าจะเป็น   ลานการแสดง   พื้นที่พักผ่อน   พื้นที่รับประทานอาหารและโฮมสเตย์เป็นต้น
บรรยากาศติดริมแม่น้ำ
รุปแบบของสถาปัตยกรรม

   บรรยากาศและอาหารพื้นถิ่นทำให้ผมรู้สึกประทับใจในความเป็นชาวไทยวนเป็นอย่างมาก   ไม่น่าเชื่อว่าจากกรุงเทพเพียงไม่กี่ร้อยกิโลจะมีสถานที่ที่เต็มไปด้วยความเป็นท้องถิ่น   บรรยากาศที่สวยงามและน้ำใจของชาวไทยวน...   



    ปิดท้ายด้วยการบรรยายสรุปของอาจารย์ทรงชัยกับอาจารย์จิ๋วและอาจารย์ทุกท่านที่ได้เดินทางไปด้วยกัน...ก่อนเดินทางกลับไปแวะที่ตลาดเก่าร้อยปี(เกี๊ยวกรอบของเค้าสุดยอดจริงๆ)
และเดินทางกลับกรุงเทพด้วยความประทับใจ...^^



วันที่ 24 กรกฎาคม 2553 (วันแรกของการเดินทาง)

    และแล้วการเดินทางสู่ Trip ในตำนานก็เริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการ   จากลาดกระบังรถก็มาจอดพักรับประทานอาหารที่ตัวเมืองของจังหวัดอุทัยธานี





    บรรยากาศบ้านเรือนสมัยเก่าประกอบกับวิถีชีวิตที่เรียบง่ายของผู้คนและที่สำคัญอาหารสุดอร่อยเริ่มทำให้ผมประทับในจังหวัดเล็กๆแห่งนี้ไม่น้อย(ข้าวมันไก่/เป็ดพะโล้/หมี่กรอบ อร่อยจริงครับ)...


    สถานที่ที่รถจอดเป็นแห่งแรกคือบริเวณสะพานห่างจากตัวเมืองจังหวัดเล็กน้อย   เรือนแพของชาวบ้านอยู่ติดกันคล้ายชุมชนย่อมๆบนน้ำ   ชุมชนริมน้ำแห่งนี้มีรูปแบบของสถาปัตยกรรมแบบเรือนแพ   มีการใช้วัสดุสมัยใหม่การประยุกต์ใช้กับวิถีชีวิตแบบดังเดิมเช่นการใช้สังกะสีมาทำหลังคา   บรรยากาศและวิถีชีวิตของชาวบ้านดูท่าทางจะชิลไม่น้อยเลยทีเดียว...
   สถานที่ต่อมาคือชุมชนริมน้ำบริเวณวัดชุมชนแห่งนี้ได้แสดงลักษณะที่ชัดเจนในความสัมพันธ์ของวิถีชีวิตกับสายน้ำ   ไม่ว่าจะเป็นการเดินทางและการเป็นอยู่   เรือนแพทุกหลังมีห้องน้ำที่เหมือนกันเนื่องจากทางจังหวัดไปจัดทำและมอบให้เชื่อบ้านได้ใช้กัน


บรรยากาศริมน้ำของชุมชนริมน้ำแห่งนี้

    หลังจากนั้นก็มุ่งหน้าเดินทางขึ้นเหนือต่อไปและแวะพักทานอาหารเย็นที่ตลาดกลางคืน จังหวัดกำแพงเพชร   หลังจากนั้นก็มุ่งหน้าสู่จังหวัดลำปางและถึงที่พักประมาณเกือบเที่ยงและต่างพักผ่อนรอการเดินทางในวันรุ่งขึ้น...



วันที่ 25 กรกฎาคม 2553 (วันที่ 2)

   ในวันที่ 2 เริ่มต้นด้วยมื้อเช้าด้วยอาหารท้องถิ่นประกอบกับสัมผัสวิถีชีวิตแบบล้านนาพร้อมกับเดินทางไปยังวัดที่เก่าแก่ที่สุดในจังหวัดลำปางนั้นคือ "วัดไหล่หิน"

บรรยากาศลานดินบริเวณหน้าวัดและอาจารย์จิ๋วกำลังอธิบายความเป็นมาของวัด


   นับเป็นวัดที่มีรูปแบบของสถาปัตยกรรมแบบล้านนาดังเดิม   มีวิหารซึ่งประดิษฐานพระประธานโครงสร้างของหลังคาเป็นไม้ทั้งหมด   มีการบูรณะอย่างสม่ำเสมอ   โดยรอบทำการปิดล้อมด้วยวิหารคดโดยมีลานทรายอยู่ระหว่างกลางและซุ้มประตูทำด้วยปูนปั้นแสดงให้เห็นถึงความวิจิตรสวยงาม...


วิหารคดและลานทราย
   เนื่องจากวัดไหล่หินมีขนาดไม่ให้มากสิ่งที่ได้รับจากวัดไหล่หินคือใช้ใช้พื้นที่ปิดล้อม  การเชื่อมต่อพื้นที่   การใช้วัสดุและต้นไม้ที่ช่วยบรรยากาศร่มรื่นได้เป็นอย่าง(อ.น้ำบอกว่าเหมาะกับการออกเเบบรีสอร์ทเป็นอย่างมาก)...

วัดพระธาตุลำปางหลวง
   จุดหมายต่อมาคือ "วัดพระธาตุลำปางหลวง" เป็นวัดขนาดใหญ่และมีความสวยงามเป็นอย่างมาก   ลักษณะเด่นของวัดทางล้านนาคือการใช้แกนที่วางให้   ซุ้มประตู   วิหารและพระธาตุวางอยู่ในแกนเดียวกันและการใช้ลานทรายในการเชื่อมต่อพื้นที่




บริเวณทางเิดินที่มีการใช้วัสดุใหม่
   อาจารย์จิ๋วได้กล่าวว่าใช้พัฒนาในด้านต่างๆของวัด  เช่นลานหน้าวัดหรือจะเป็นทางเดินที่มรการปรับปรุงเพื่อความสะดวกสบาย   แต่บางครั้งอาจเป็นการทำลายสิ่งที่มีอยู่เดิมและสถาปัตยกรรมท้องถิ่นได้ดังนั้นจึงควรมีการศึกษาจนเกิดความเข้าใจในสิ่งนั้นๆก่อน...




   จุดหมายต่อไปคือ "วัดปงยางคก" เป็นวัดที่มีต้นโพธิ์ขนาดใหญ่ให้ร่มเงาและมีรั้วขนาดไม่สูงปิดล้อมและเป็นการใช้ระนาบนอนเพื่อเป็นการนำสายตาไปสู่ภายใน


วิหารพระแม่เจ้าจามเทวี
  
   อาจารย์จิ๋วได้อธิบายถึงการใช้ที่ว่างในการ decorate เพื่อเชื่อมไปถึงสภาพภาพแวดล้อมภายในวัด (ใช้พื้นที่ว่าง decorate สุดยอดไปเลย) และจุดเด่นที่สำคัญคือการใช้เส้นตั้งและเส้นนอนของวัดนี้มีความน่าสนใจเป็นอย่างมาก...เเละก่อนที่จะกลับที่พักได้ไปแวะที่หมู่บ้านเล็กแห่งหนึ่งจำได้ว่าเค้าสร้างบ้านจากวิถีชีวิตและการใช้งานอย่างแท้จริง...
(ไม่มีรูปนะครับพอดีแบตหมด)...^^






วันที่ 26 กรกฎาคม 2553 (วันที่ 3)


   จุดหมายแรกของวันที่ 3 คือ "วัดพระแก้วดอนเต้าสุชาดาราม" สมัยก่อนวัดนี้ได้แบ่งเป็น 2 วัดคือ "วัดพระแก้วดอนเต้า" และ "วัดสุชาดาราม" ภายหลังจึงรวมเป็นวัดเดียวกัน 





ในส่วนของวัดสุชาดารามมีรูปแบบสถาปัตยกรรมล้านนาฝีมือของช่างชาวเชียงแสน

ในส่วนของวัดพระแก้วดอนเต้าเป็นรูปแบบสถาปัตยกรรมแบบพม่า
   จุดหมายต่อไปคือบ้านชาวบ้านที่อยู่ระหว่างทางเจอสวยโดดใจเมื่อไหร่เจอลงเมื่อนั้น...




   บ้านหลังนี้โดดเด่นที่การตกแต่งที่เรียบง่ายและสะท้อนวิถีชีวิตของชาวบ้านได้เป็นอย่างดี



   หลังนี้โดดเด่นที่การใช้ไม้ระเเนงตีตามตั้งในส่วนที่เชื่อมต่อมาจากในครัวและมีตะใคร่น้ำมีเกาะเกิดความสวยงามเป็นอย่างมาก...




   จุดหมายต่อมาคือ "วัดข่วงกอม" เป็นวัดเก่าแก่อายูกว่า 200 ปี   และ ดร.วทัญญู ได้ออกแบบและทำการบูรณะซ่อมแซมใช้วัสดุและเทคโนโลยีสมัยใหม่มาใช้แต่ยังคงรูปแบบของสถาปัตยกรรมดั้งเดิมไว้ได้อย่างสวยงาม...

วิหารของวัด




ตกแต่งด้วยระแนงในแนวนอนประกอบกับหน้าต่าง 2 บานซ้อนกันสวยสุดๆ
   จุดหมายสุดท้ายของวันนี้อยู่ที่ "อุทยานแห่งชาติแจ้ซ้อน" ซึ่งมีน้ำตกและบ่อน้ำพุร้อนเป็นการผ่อนคลายหลังจากเหน็ดเหนื่อยกันมาทั้งวัน(น้ำร้อน ร้อนจริงๆครับ...)หลังจากนั้นก็เดินทางกลับที่พัก...





วันที่ 27 กรกฎาคม 2553 (วันที่ 4)

   เช้าวันนี้เริ่มต้นด้วยข้าวซอยและขนมปังหน้าหมูหลังจากเลื่องลือมาหลายวันซึ่งวันนี้เป็นวันสุดท้ายที่จะพักที่ลำปางเลยของจัดซะหน่อย...


   จุดหมายแรกของวันนี้อยู่ที่ "วัดปงสนุก" ด้านบนเป็นที่ประดิษฐานพระธาตุจอมไคล   ส่วนวิหารเป็นทรงมณฑปแบบล้านนามีพระประธานสี่องค์หันหลังติดกัน   และวัดนี้ยังมีการใช้วัสดุในท้องถิ่นในการตกแต่งในส่วนต่างๆของวัดอีกด้วย...


   และจุดหมายต่อไปคือ "วัดศรีรองเมือง" แต่ที่น่าเสียดายคือวัดอยู่ในระหว่างการบูรณะแต่ก็ยังสามารถไปไปดูได้   วัดนี้มีรูปแบบสถาปัตยกรรมแบบพม่าซึ่งสร้างโดยช่างชาวพม่าเช่นเดียวกันซึ่งสถาปัตยกรรมรูปแบบพม่านั้นมีความโดเด่นด้านการประดับตกแต่งเป็นอย่างมาก




ลักษณะการตกแต่งภายใน
   เราแวะทานข้าวกลางวันกันบริเวณตลาดใกล้กับสถานีรถไฟลำปางซึ่งมีความสวยงามเป็นอย่างมาก...


   จุดหมายต่อไปของเราอยู่ที่จังหวัดแพร่ก่อนที่จะเดินทางต่อไปยังจังหวัดสุโขทัย  




   บ้านของชาวบ้านในหมู่บ้านนี้แสดงในเห็นถึงการเข้ามาของวัสดุสมัยใหม่และการผสมผสานระหว่างวัสดุใหม่กับวัสดุท้องถิ่นได้อย่างน่าสนใจ   และการใช้พื้นที่ที่สะท้อนวิถีชีวิตได้อย่างลงต้ว   เดินถ่ายรูปได้แปปเดียวฝนก็ตกเลยตีรถยาวสู่ที่พักในจังหวัดสุโขทัย



วันที่ 28 กรกฎาคม 2553 (วันที่ 5 ตรงกับวันเกิดของผมพอดี..^^)

   ตั้งใจว่าจะตื่นแต่เช้าเพื่อใส่บาตรแต่ฟ้าฝนไม่เป็นใจจึงได้แต่มองพระเดินบิฑบาตรกลางสายฝน   วันนี้เป่าหมายของเรามีเพียงที่เดียวคือ "อุทยานประวติศาสตร์สุโขทัย"

   สถานที่แรกคือ "สรีดภงส์" หรือ "ทำนบพระร่วง" ทำหน้าที่เป็นเหมือนเขื่อนกักเก็บน้ำไว้หล่อเลี้ยงผู้คนภายในเมือง
วัดมังกร
วัดมหาธาตุ
ทางเข้าวัดมหาธาตุ
แนวกำแพงเมืองและพื้นที่โดยรอบ
พระประธาน
สภาพโดยรอบวัดมหาธาตุ
   เมื่อถึงมิ้อเที่ยงได้ไปแวะทานอาหารที่จุดบริการนักท่องเที่ยวซึ่งมีการออกแบบตกแต่งในรูปแบบของสถาปัตยกรรมสุโขทัยดั้งเดิมโดยใช้วัสดุภายในท้องถิ่น   โดยตอบสนองการใช้พื้นที่โดยยึดการวางผังแบบสุโขทัยอย่างชัดเจน

วัดพระพายหลวง
 
วัดศรีชุม
วัดศรีสวาย
   การที่ได้มาชมโบราณสถานต่างๆเหล่านี้ทำให้ผมรู้สึกภาคภูมิใจและสำนักในความสามารถ   ภูมิปัญญา   และความกล้าหาญของบรรพบุรุษไทย   แนวความคิด   การประดับตกแต่งล้วนสามารถนำกลับมาใช้ได้จริงในงานปัจจุบัน



วันที่ 29 กรกฎาคม 2553 (วันที่ 6)

   เดินทางจากจังหวัดสุโขทัยสู่จังหวัดอุตรดิตถ์ระหว่างทางได้แวะถ่ายรูปบ้านอยู่หลายหลัง


หลังนี้น่าสนใจตรงที่การตกแต่งด้วยระแนงไม้ทั้งเส้นตั้ง-เส้นนอน-เส้นทแยง
หลังนี้น่าสนใจตรงการยื่นชายคาที่ดูเชื้อเชิญ
หลังนี้น่าสนใจตรงที่การทิ้งชายคามารับบันไดทำให้บ้านดูโดเด่นและน่าสนใจ
   หลังจากนั้นเดินทางต่อไปยัง "วัดดอนสัก" เป็นวัดที่มีการตกแต่งที่เนียบมากในส่วนของศาลาและส่วนของวิหารเป็นเก่าแก่ที่มีความสวยงามเป็นอย่างมากโดยเฉพาะประตูไม้แกะสลักบานใหญ่   เราแวะทานอาหารที่นี่และถวายไฟพรรษาที่วัดแห่งนี้อีกด้วย


วิหารของวัด

บริเวณภายในศาลา
บานประตูไม้แกะสลัก
หอระฆัง

วันที่ 30 กรกฎาคม 2553 (วันที่ 7)

    วันนี้เรามีจุดหมายเดียวคือ "อุทยานประวัติศาสตร์ศรีสัชนาลัย"  อ.ศรีสัชนาลัย จ.สุโขทัย


วัดพระศรีรัตนมหาธาตุเชลียง
พระประธาน



วัดโคกสิงคาราม


วัดกุฎีราย (ลักษณะโครงสร้าง pointed arch)

   หลังจากนั้นไปต่อที่ "ศูนย์ศึกษา-อนุรักษ์เตาสังคโลก" ซึ่งเป็นศูนย์ที่ให้ข้อมูลเกี่ยวกับเครื่องสังคโลก   เตาเผา   และประวัติความเป็นมาของเครื่องสังคโลก   และได้ออกแบบโดยนำแนวความคิดและรูปแบบสถาปัตยกรรมสุโขทัยแบบศรีสัชนาลัยมาใช้ได้อย่างน่าสนใจ   

ภายนอกอาคาร

ภายในอาคาร

ส่วนของการจัดแสดง
    หลังจากนั้นเดินทางไปชมในส่วนต่างๆของ "อุทยานประวัติศาสตร์ศรีสัชนาลัย"


วัดเจดีย์เก้ายอด

วัดนางพญา

วัดเจดีย์เจ็ดแถว


วัดช้างล้อม
    หลังจากที่เดินถ่ายรูปมาทั้งวันอย่างหนึ่งที่ผมรู้สึกคือว่า ชาติไทยของเราไม่ได้น้อยหน้าชาติได้ในโลกเลยไม่ว่าจะเป็นเรื่องของสถาปัตยกรรมและภูมิปัญญา...



วันที่ 31 กรกฎาคม 2553 (วันที่ 8)

   สำหรับวันที่ 8 ของการเิดนทางครั้งนี้เรามุ่งหน้าสู่ อำเภอกงไกรลาศ จังหวัดสุโขทัย   เพื่อเยี่ยมชมบ้านของคุณลุงของอาจารย์ตี๋ครับ...บ้านหลังนี้ผู้รู้สึกว่ามันน่ามองไปทุกมุมเลยทีเดียว   การจัดสรรพื้นที่ใช้สอยภายในเป็นไปอย่างลงตัว   การตกแต่งก็เกิดจากการใช้สอยจริงเป็นบ้านที่มีความสวยงามและน่าสนใจมากครับ...

ที่นั่งหน้าบ้าน


lสนามหญ้า+ลานดิน...ลงตัวสุดๆ





ของกินเพียบ...!!!

    จุดหมายต่อไปของเราคือ "สนามบินสุโขทัย" สนามบินที่ออกแบบโดยรุ่นพี่ของเราเอง   แนวความคิดหลักของการออกแบบสนามบินคือการออกแบบเมืองสุโขทัยทั้งการวางผัง   วัสดุ   รูปแบบของสถาปัตยกรรม   สนามบินสุโขทัยแห่งนี้เปรียบเสมือนการสำนักถึงคุณค่าของประวัติศาสตร์   อาจารย์บอกว่าสถาปัตยกรรมไทยท้องถิ่นจะไม่มีวันสูญหายไปถ้าหากเรายังสำนักและระลึกถึงอยู่ตลอดเวลา(ซึ้งมากครับ)   วัสดุก่อสร้างที่ใช้ก็ล้วนหาได้ในท้องถิ่นและเป็นการสร้างงานสร้างรายได้แก่คนในท้องถิ่นอีกด้วย...


ทางเข้าด้านหน้า

โครงสร้างภายใน

บริเวณที่นั่งพักผู้โดยสาร

มุมมองจากรันเวย์
โรมแรมสุโขทัย
บ่อน้ำของโรมแรม
อาคารห้องพักและสระว่ายน้ำ
   วันที่ 1สิงหาคม 2553 (วันที่ 9 วันสุดท้ายของการเดินทาง)

    หลังจากจัดข้าวของเพื่อเดินทางกลับจุดหมายที่แรกในวันนี้คือ จังหวัดพิษณุโลก และวัดแรกที่เดินทางมาถึงคือ "วัดราชบูรณะ" และวัดต่อมาคือ "วัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร" วัดที่ซึ่งเป็นที่ประดิษฐานองค์ "พระพุทธชินราช"

วัดราชบูรณะ

วัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร

องค์พระพุทธชินราช
    หลังจากที่ทำการสักการะองค์พระพุทธชินราชเสร็จสิ้นเพื่อเป็นสิริมงคลก็มุ่งหน้าเดินทางกลับกรุงเทพมหานคร   ทิ้งไว้แต่ความประทับใจและความภาคภูมิใจ...
    สุดท้ายนี้ขอขอบคุณอาจารย์ทุกท่านที่เสียสละเวลาพาพวกเรา สถ. 5 ทั้งชั้นปี   ไปพบกับประสบการณ์ที่เต็มไปด้วยคุณค่าของสถาปัตยกรรม   ประสบการณ์ที่ไม่สามารถหาซื้อได้ที่ไหนแต่ต้องแลกกับหยาดเหงื่อ  แสงแดด   ถามว่าเหนื่อยมั้ย...ก็ต้องตอบว่าเหนื่อย   ถามว่าดำมั้ย...ก็ต้องตอบว่าดำ   ถามว่าคุ้มค่ามั้ย...ไม่สามรถหาคำตอบที่สื่อความหมายได้หมดจริงๆ...


 ...ขอบคุณมากครับ...


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น