วันอาทิตย์ที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2553

***...สถาปนิก IDOL รุ่นพี่ลาดกระบัง...***



งานชิ้นที่ 4 ของวิชา ปฏิบัติวิชาชีพ ...สัมภาษณ์ "สถาปนิก Idol รุ่นพี่ลาดกระบัง"...


    ออกเดินทางจากลาดกระบังมุ่งหน้าสู่ถนนเกษตร-นวมินทร์เพื่อจะไปหมู่บ้าน คาซ่า ซิตี้ 1 อันเป็นที่ตั้งของ บริษัท อาร์คิเทคเจอร์ ดีไซน์ อินโนเวชั่น จำกัด (ADI  Architecture Design Innovation Co.,Ltd. ) ซึ่งมีพี่นายอานนท์ เรืองกาญจนวิทย์ เป็นกรรมการผู้จัดการ  
     ออฟฟิทแห่งนี้มีลักษณะเป็นโฮมออฟฟิทตั้งอยู่ภายในหมู่บ้าน คาซ่า ซิตี้ 1 ย่านลาดพร้าว   ภายในออฟฟิทประกอบด้วยรุ่นพี่ลาดกระบัง 3 คน ประกอบด้วย พี่พัฒ สถ.8 พี่โอปอ สถ.7และพี่แป้ว สถ.6 และมีพี่อานนท์เป็นเจ้าของออฟฟิท   


ด้านหน้าโฮมออฟฟิท ADI
บรรยากาศภายในโฮมออฟฟิท
ห้องทำงานพี่อานนท์
void de stij สุดเท่...
บรรยากาศการทำงานของพี่ๆชาวลาดกระบังในภายออฟฟิท ADI




  

- ประวัติส่วนตัว...เรียนจบปีไหน ไปต่อโท ที่ไหน ทำงานอะไรที่ไหน...ลักษณะงานการปฏิบัติวิชาชีพ ทำอะไร...?

 ประวัติการศึกษา
• ระดับปริญญาตรี สถาปัตยกรรมศาสตรบัณฑิต ,2540 (สถ.บ.)
   Bachelor of Architecture (B.Arch)
   สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง
   History of Architecture (M.Arch)
• ระดับปริญญาโท ประวัติศาสตร์สถาปัตยกรรม ,2546
   มหาวิทยาลัยศิลปากร

 ประวัติการทำงาน

  2541-2542 บ. เจริญกิจ เอ็นเตอร์ไพร์ จำกัด
  2543-2544 บ. จันทิมาพร จำกัด
  2547-2550 บ.วิริยะ เอ็นเนอร์ยี ดีไซน์ อาร์คิเทคเจอร์ จำกัด
  2551-ปัจจุบัน บ.อาร์คิเทคเจอร์ ดีไซน์ อินโนเวชั่น จำกัด

เกียรติประวัติและผลงาน
  2540 ได้รับคัดเลือก จัดแสดงผลงานวิทยานิพนธ์ ระดับปริญญาตรี ที่ศูนย์ประชุมแห่งชาติ สิริกิตติ์
  2544 รางวัล Grand prize , ประกวดแบบโครงการสถานทูตฝรั่งเศสประจำประเทศไทย ถนนสาทรเหนือ กรุงเทพฯ
  2545 รางวัล Honorable Mention , Central Glass International Design Competition, ประเทศญี่ปุ่น
  2546 วิทยากรรับเชิญบรรยายการประกวดแบบของ “ ชมรมวันพุทธ” สมาคมสถาปนิกสยามในประบรม ราชูปถัมภ์
  2547 ไดัรับคัดเลือกเป็น 1 ใน 20 สถาปนิก ในประเทศไทย เข้าร่วมทำ Workshop“ Body architecture” ในงานสถาปนิก   47 เมืองทองธานี กรุงเทพฯ
   
ผลงานการออกแบบวิชาชีพสถาปัตยกรรม   2541 ออกแบบและวางผังโครงการหมู่บ้าน Grand Canal ถ.ประชาชื่น
  2543 โรงเรียนอนุบาลนานาชาติ เทพารักษ์ จ.สมุทราปราการ
  2547 บ้านประหยัดพลังงาน คุณอนงค์รัตน์ คงลาภ บางซื่อ กรุงเทพฯ
  2547 อาชวาลัย รีสอร์ท จ. พัทยา
  2548 โชว์รูมเชฟโรเลฟ นวมินทร์ ถ.สุขาภิบาล 1 กรุงเทพฯ
  2548 อาคารศูนย์วิทยาศาสตร์เพื่อการศึกษาประจำภาค จ.ร้อยเอ็ด
  2549 อาคารสำนักงานสหกรณ์ออมทรัพย์แห่งประเทศไทย ถ.ราชพฤกษ์ กรุงเทพ
  2549 อาคารสำนักงานเทศบาลเจ็ดเสมียน จ.ราชบุรี
  2549 อาคารสำนักงานองค์การบริหารส่วนตำบลบางพลีใหญ่ จ.สมุทรปราการ
  2549 อาคารชุดพักอาศัยข้าราชการศาลตุลากาล จ.พัทยา
  2550 อาคารชุดพักอาศัยข้าราชการศาลตุลาการ จ.สมุทรสาคร
  2550 อาคารชุดพักอาศัยข้าราชการศาลตุลาการ จ. ฉะเชิงเทรา
  2551 อาคารสำนักงานสหกรณ์ออมทรัพย์ปากเกร็ด จ.นนทบุรี
  2551 สถานฑูตอินเดีย( ส่วนขยาย ) ถ.สุขุมวิท 23 กรุงเทพฯ
  2551 บ้านคุณวราพงษ์ เดชอมรธัญ ราษฎ์บูรณะ กรุงเทพฯ

    
- งานที่พี่คิดว่าเป็นตัวอย่างที่ดีในการปฏิบัติวิชาชีพ คืออะไร...อุปสรรคในการปฏิบัติวิชาชีพคืออะไร?
    
    - พี่คิดว่างานที่ดีต้องมีองค์ประกอบสำคัญๆ 3 อย่างคือ  1. Function 2. ความสวยงาม 3. ถูกกฎหมาย คือ Function หมายถึง เรื่องที่เกี่ยวข้องพฤติกรรมของมนุษย์ในการใช้งานต้องเหมาะสมกับอาคาร และที่สำคัญเราต้องมีความรู้เรื่องฮวงจุ่ยบ้างเพราะลูกค้าบางคนเค้ามีความเชื่อด้านนี้อยู่และ 2. ความสวยงาม คือ เป็นเรื่องของความรู้สึกของมนุษย์แต่ละคนที่มีการรับรู้ที่แตกต่างกัน เราต้องเน้นไปที่รายละเอียดขององค์ประกอบที่สำคัญของอาคาร ดังนั้นการศึกษารายละเอียดตรงนี้จึงมีความสำคัญเป็นอย่างความต่อความสวยงามของอาคารที่เราออกแบบ และสุดท้ายที่สำคัญคือ เรื่องกฎหมาย เราต้องคุยกับลูกค้าก่อนว่าเรื่องไหนที่เราสามารถยอมให้ได้เรื่องใดที่ไม่สามารถยอมให้ได้ คือเราต้องเอาความจริงมาคุยกันว่าเรื่องที่ยอมไม่ได้คือเรื่องที่เกี่ยวกับระยะร่นต่างๆ บันไดหนีไฟเป็นต้น เนื่องจากถ้าเรายอมไปมันส่งผลกระทบต่อผู้คนโดยรอบ และสิ่งแวดล้อมดังนั้นเรื่องเหล่านี้จึงยอมให้กับลูกค้าไม่ได้ ส่วนเรื่องที่ยอมได้ก็ประมาณ เรื่องการระบายอากาศและช่องเปิดคือเรื่องเหล่านี้เราสามารถแก้ปัญหาโดยการใช้ Mechanic ช่วยได้ และเรื่องลูกตั้ง ลูกนอน ความกว้างของบันไดเป็นต้น
     ส่วนเรื่องอุปสรรคในการปฏิบัติวชาชีพพี่ว่าก็ประมาณเรื่อง กฎหมายที่ไม่เป็นธรรมกับเราเช่นการสอบเลื่อนขั้นของสถาปนิก เรื่องค่าบริการทางวิชาชีพต้องเป็นมาตราฐานมากกว่าทั้งงานเอกชนและงานราชการและสุดท้ายคือเด็กยุคหลังๆนี้ต้องยอมรับว่ามีทักษะมากขึ้นแต่ความตั้้งใจและสมาธิในการทำงานกลับน้อยลง ไม่ค่อยมีความอดทนและต้องการประสบความสำเร็จเร็ว เป็นต้น


- ข้อคิดที่สำคัญในการทำงาน...?และการปฏิบัติตนต่อการทำงานทำอย่างไร...?

    - พี่คิดว่าสิ่งที่สถาปนิกที่ดีทุกคนควรจะมีคืออย่างแรกที่สำคัญและยากที่สุดคือ ความคิดสร้างสรรค์ ต่อมาที่มีความสำคัญไม่แพ้กันก็คือความใส่ในการเรียนรู้ในสิ่งใหม่ๆตลอดเวลา และสุดท้ายคือความขยัน อดทน ต่อการทำงาน ถ้าสถาปนิกทุกคนมีสิ่งเหล่านี้แล้วย่อมสามรถเป็นสถาปนิกที่ดีในอนาคตได้อย่างแน่นอน


- คิดเห็นอย่างไรกับ จรรยาบรรณวิชาชีพ คิดเห็นอย่างไรกับการออกแบบเพื่อสิ่งแวดล้อม...?

    - พี่คิดว่าทางสมาคมสถาปนิกออกกฎหมายและการควบคุบจรรยาบรรณในปัจจุบันได้ดีอยู่แล้วแต่ควรให้ความสำคัญกับการส่งเสริมในการเรียนรู้และการเติบโตของสถาปนิกด้วย
     ส่วนเรื่องการออกแบบเพื่อสิ่งแวดล้อมนั้นทางออฟฟิทพี่ได้ให้ความสำคัญกับการออกแบบที่เน้นในการประหยัดพลังงานของอาคารเนื่องจากนอกจากที่ลูกค้าจะสามารถลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงานและยังมีส่งผลไปถึงความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นของผู้อยู่อาศัยอีกด้วย...


ตัวอย่างผลงานการออกแบบของออฟฟิท ADI



อาคารสำนักงานสหกรณ์การเกษตร ปากเกร็ด

command center

India Embassy (Addition wing)

อาคารชุดพักอาศัยศาลตุลาการ จังหวัดพัทยา

เทศบาลตำบลเจ็ดเสมียน จังหวัดราชบุรี

อาคารองค์การบริหารส่วนตำบลบางพลี

 อาคารสำนักงานชุมนุมสหกรณ์ออมทรัพย์แห่งประเทศไทย

อาคารศูนย์วิทยาศาสตร์เพื่อการศึกษาประจำภาค จังหวัดร้อยเอ็ด







     สุดท้ายผมต้องขอขอบคุณพี่อานนท์  เรืองกาญจนวิทย์ในการเสียสละเวลาให้สัมภาษณ์และพูดคุยเรื่องราวประสบการณ์การทำงาน และแนวความคิดในการเป็นสถาปนิกที่ดี ซึ่งเป็นนับประสบการณ์และประโยชน์กับผมเป็นอย่างมากในการที่จะออกไปเป็นสถาปนิกที่ดีในเวลาอันใกล้นี้ ขอบคุณพี่ไอซ์ สถ.6 (พี่รหัสผม)ด้วยครับ ที่ช่วยแนะนำให้ผมรู้จักพี่อานนท์จนนำไปสู่การสัมภาษณ์ครั้งนี้
     และที่สำคัญขอขอบคุณอาจารย์ไกรทอง โชติวุฒิพัฒนา ผู้สอนวิชา Professional Practice ที่ได้ให้งานชิ้นสำคัญและที่มีประโยชน์แก่ผมและเพื่อนสถ.5ทุกคนที่กำลังจะจบออกไปประกอบวิชาชีพสถาปนิกที่ดีในอนาคตอันใกล้นี้ ขอบคุณมากครับ...^^

สถานที่สัมภาษณ์ : บริษัท อาร์คิเทคเจอร์ ดีไซน์ อินโนเวชั่น จำกัด (ADI  Architecture Design Innovation Co.,Ltd. ) หมู่บ้านคาซ่าซิติ้ 1 ถ.สุคนธสวัสดิ์ ลาดพร้าว กทม. 
วันที่ : 8 ตุลาคม 2553 เวลา : 15.45 น.
ผู้ให้สัมภาษณ์ : พี่อานนท์  เรืองกาญจนวิทย์
ผู้สัมภาษณ์และเรียบเรียงบทสัมภาษณ์ : นายธนัท  เดชเจริญสี   49020139



















วันจันทร์ที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2553

รองศาสตราจารย์แสงอรุณ รัตกสิกร


     รองศาสตราจารย์แสงอรุณ รัตกสิกร เกิดเมื่อวันที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2465 ที่ตำบลดงพระราม อำเภอเมืองฯ จังหวัดปราจีนบุรี เป็นบุตรของ พ.อ.พระยาวิเศษสิงหหนาท (สาหร่าย รัตกสิกร) และคุณหญิงระเบียบ สกุลเดิม คงพันธุ์ มีพี่น้องร่วมบิดามารดา 6 คน คือ
1. นายแพทย์ ระวิรัศ รัตกสิกร
2. น.ส. นวลจันทร์ รัตกสิกร
3. นาย แสงอรุณ รัตกสิกร
4. น.ส. แสงจันทร์ รัตกสิกร
5. น.ส. ศรีจันทร์ รัตกสิกร
6. นาย อุทัย รัตกสิกร
เริ่มศึกษาที่โรงเรียนประจำจังหวัดนครสวรรค์ จากนั้นย้ายมาศึกษาที่โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย กรุงเทพฯ และโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา ต่อมาเข้าศึกษาคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และได้รับทุน ก.พ. ไปศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยคอร์แนล สหรัฐอเมริกาเป็นเวลา ๒ ปี จนจบปริญญาโท สถาปัตยกรรมศาสตรมหาบัณฑิต (Master of Architecture) มหาวิทยาลัยคอร์เนล สหรัฐอเมริกา หลังจบการศึกษาจากคอร์เนล อ.แสงอรุณมีโอกาสไปใช้ชีวิตและฝึกงานอยู่กับสถาปนิกผู้ยิ่งใหญ่ของอเมริกา และของโลก มหาพรหมแฟรงค์ ลอย ไรท์ (Frank Lloyd Wright, ค.ศ. ๑๘๖๗-๑๙๕๙) ในสำนักทาไลซินตะวันออกบนเนินเขาวิสคอนซิ่นและทาไลซินตะวันตกในทะเลทรายอะริ โซน่า อ.แสงอรุณแต่งงานกับลดา สีบุญเรือง มีบุตรด้วยกันหนึ่ง เมื่อสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีแล้วก็เข้ารับราชการในคณะสถาปัตยกรรม ศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมื่อวันที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2490 และยังมีผลงานเขียนหนังสือเช่น "แสงอรุณ 2" (1 ใน หนังสือ 100 เล่ม ที่คนไทยควรอ่าน), ตึก ต้นไม้ และแสงอรุณ, ทรรศนะอุจาด ,แสงอรุณแห่งสถาปัตยกรรม, " เรณู - ปัญญา " เที่ยวรถไฟ, อนุสาวรีย์ที่ไทยทำ โดยส่วนใหญ่ท่านใช้นามจริง เว้นบางเรื่องใช้นามปากกาว่า ส. รัตกสิกร ท่านยังมีฝีมือในการเขียนภาพลายเส้น นิสัยรักธรรมชาติและการศึกษาค้นคว้า เป็นผู้เผยแพร่ความรู้เรื่องอนุรักษ์ศิลปะและสิ่งแวดล้อมที่ดีเยี่ยมผู้ หนึ่ง
อ.แสงอรุณเป็นอาจารย์นอกรีต ใส่เสื้อปล่อยชาย ไม่ผูกเน็คไท ไว้หนวดเครารุงรัง จนอาจารย์บางคนรับไม่ได้หาว่าแต่งตัวไม่สมกับสถานะอาจารย์ เขาย้อนกลับเรียบๆ ว่า คุณไปบอกอาจารย์พวกนั้นให้มาทำงานตรงเวลาดีกว่า...ท่านเป็นอาจารย์ที่มีจิตวิญญาณความเป็นครูอย่างแท้จริง สอนให้นักศึกษารักศิลปะและธรรมชาติสอนสนุกมีสีสัน ครั้งหนึ่ง ท่านได้วิจารณ์และอธิบายสถาปัตยกรรมแบบโกธิคให้นักศึกษาฟังว่าสูงประหนึ่งสามารถเอามือไปเกาตีนพระเจ้าได้ ฉันนั้น   นอกจากอ.แสงอรุณจะ เป็นสถาปนิกและอาจารย์ที่เข้าใจในธรรมชาติ ปรัชญา ศิลปะ และสถาปัตยกรรมอย่างลึกซึ้งแล้ว ท่านยังเป็นศิลปินที่มีความสามารถหลายแขนง วาดรูปสวยระดับจิตรกรเอก เป็นประติมากรด้วยอ.แสงอรุณเป็นผู้มีวาจาเฉียบคมพอๆ กับเขียนหนังสือได้เฉียบคมและสละสลวย เต็มเปี่ยมไปด้วยวรรณศิลป์ ที่สำคัญที่สุดท่านเป็นคนรักธรรมชาติและความเป็นไทยอย่างที่สุด
      อ.แสงอรุณ รัตกสิกร ถึงแก่กรรมอย่างกะทันหันที่บ้าน ด้วยโรคหัวใจวายเฉียบพลัน โดยไม่มีอาการป่วยใดๆ ล่วงหน้า เมื่อวันที่ ๑๕ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๒๒ รวมอายุได้ ๕๖ ปี ๘ เดือน ๒๖ วัน
ตำแหน่งสุดท้ายทางวิชาการเป็นรองศาสตราจารย์ระดับ ๙
การทำงาน
  • 1 สิงหาคม 2497 ตำแหน่งอาจารย์โท
  • 20 กรกฎาคม 2503 ตำแหน่งอาจารย์เอก
  • 30 ตุลาคม 2511 ตำแหน่งชั้นพิเศษ
  • 1 ตุลาคม 2512 ตำแหน่งรองศาสตราจารย์
  • 1 ตุลาคม 2519 ตำแหน่งรองศาสตราจารย์ ระดับ 7
  • 1 มิถุนายน 2520 ตำแหน่งรองศาสตราจารย์ ระดับ 8
  • 22 พฤษภาคม 2522 ตำแหน่งรองศาสตราจารย์ ระดับ 9
ผลงานด้านงานเขียน
     งานเขียนและผลงานของรองศาสตราจารย์ แสงอรุณ รัตกสิกร ถูกตีพิมพ์ครั้งแรกในหนังสือชื่อ แสงอรุณ 2 เป็นหนังสือที่รวบรวมผลงานทั้งหลายของท่าน ไม่ว่าจะเป็นด้านงานเขียน หรือผลงานในด้านอื่นๆ มากมายหลังจากนั้นก็ได้มีการนำผลงานเขียนไปเผยแพร่ในหนังสือในเวลาต่อมา เช่นหนังสือชื่อ ตึก ต้นไม้ และแสงอรุณ: โลกทัศน์ของสถาปนิก และแสงอรุณแห่งสถาปัตยกรรม

หนังสือแสงอรุณแห่งสถาปัตยกรรม
หนังสือ ตึก ต้นไม้ และแสงอรุณ


 
หนังสือแสงอรุณ 1 และ แสงอรุณ 2(จัดทำขึ้นเพื่อเป็นของที่ระลึกในงานศพของท่านอาจารย์แสงอรุณ รัตกสิกร)
 
ซึ่งในหนังสือ แสงอรุณ 2 นี้ มีบทความที่อ.แสงอรุณเขียนไว้มากมาย เป็นบทความที่เป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อคนรุ่นหลังทั้งที่เรียนในสาย สถาปัตยกรรมและคนทั่วไป เป็นการเปิดมุมมองความคิดใหม่ๆ ท่านใช้ภาษาที่ตรงไปตรงมา อ่านแล้วมองเห็นภาพโดยรวมอย่างชัดเจน ตัวอย่างเช่น

ทรรศนะอุจาด

บทความเอกสารประกอบการบรรยาย เชียงใหม่ในสายตาของคนนอก ในการสัมมนาเรื่อง
การพัฒนาเมืองเชียงใหม่และปัญหาสภาวะแวดล้อมที่จังหวัดเชียงใหม่ โดย
รองศาสตราจารย์แสงอรุณ รัตกสิกร
คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

      มลภาวะทางสายตา ซึ่งตรงกับศัพท์อังกฤษว่า Visual Pollution  เป็นคำที่บัญญัติขึ้นใหม่เพื่อให้ทันต่อเหตุการณ์ซึ่งเกิดขึ้นในบ้านเมือง เรา ซึ่งมีสภาพทรุดโทรม ในความงามของบ้านเมืองและสภาพธรรมชาติแวดล้อม คำนี้อาจจะยืดยาด จึงขอใช้ศัพท์ของตัวเองว่า ทรรศนะอุจาด
ปัญหาเรื่อง ทรรศนะอุจาดที่เกิดขึ้นแก่เชียงใหม่นี้ ตามความเป็นจริงแล้วเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นในบ้านเมืองเราทั่วไป ไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ แต่เชียงใหม่เป็นเมืองสำคัญในด้านภูมิประเทศและวัฒนธรรมซึ่งมีลักษณะพิเศษ เฉพาะ และความงามงดงามอันทรงคุณค่าสูงนี้กำลังร่อยหรอลงอย่างเร็ว ถ้าไม่พิจารณายับยั้งและวางเป้าหมายของบ้านเมืองนี้ให้ถูกต้องแล้วจะเป็นการ สูญเสียที่ยิ่งใหญ่ของชาติ
ความรุนแรงในเรื่องทรรศนะอุจาดเกิดขึ้นหลัง สงครามโลกครั้งที่สองยุติลงเพราะสายการคมนาคมมีมากสายขึ้นและสะดวกขึ้น เกิดการขยายตัวของเศรษฐกิจและประชากร รวมทั้งการขยายตัวของวัฒนธรรมต่างถิ่นซึ่งเกิดขึ้นอย่างมาก เพราะปราศจากการพิจารณาและควบคุมด้วยกฎหมายของรัฐ ทั้งหมดนี้เป็นปัจจัยสำคัญที่ก่อให้เกิดทรรศนะอุจาดแก่เชียงใหม่
ปัญหาทรรศนะอุจาดไม่มีในอดีต
ใน อดีตประเทศเราและประเทศอื่น ๆ ในโลกไม่เกิดปัญหานี้ ในราวศตวรรษที่ 19 ยุโรปเกิดทรรศนะอุจาดขึ้นในเมืองอุตสาหกรรม อันเป็นผลจากการขยายตัวทางเศรษฐกิจ และการปรับฐานะทางสังคมของชนชั้นพ่อค้า นายทุนอุตสาหกรรม ซึ่งด้อยในเรื่องรสนิยมแต่ก็ไม่รุนแรงนักเพราะโครงสร้างของบ้านเมืองฝรั่ง ยุคนั้นใช้ไวยากรณ์ศิลป์ในการสร้างอาคารและบริเวณแวดล้อมอย่างเดียวกันเป็น ส่วนใหญ่ เช่นเดียวกับของไทย จีน ญี่ปุ่น อินเดีย ซึ่งต่างก็สร้างไวยากรณ์ศิลป์ของตนขึ้น และใช้กันทั้งประเทศ ผลดีของการกระทำโดยมีไวยากรณ์ศิลป์แนวเดียวกัน ทำให้รูปพรรณของบ้านเมืองมีความกลมกลืน เชื่อมประสานกันไปโดยโดยตลอด
ใน ภาคเหนือ เราจะเห็นหลักฐานนี้ปรากฏเหลือในอาคารศาสนา ส่วนอาคารประเภทที่พักอาศัย ปัจจุบันเกือบจะหาดูไม่ได้ เพราะได้ถูกเจ้าของเปลี่ยนแปลงสภาพหรือไม่ก็รื้อถอนเพราะหมดอายุการใช้งาน และเจ้าของไม่เห็นว่าตนควรจะอยู่ในอาคารซึ่งมีรูปแบบศิลปะเดิมอีกต่อไป ความด้อยรสนิยมและอิทธิพลจากตะวันตกเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดความเปลี่ยน แปลง
การอยู่กันอย่างได้สมดุลย์ระหว่างมนุษย์และธรรมชาติทำให้เชียงใหม่ ในอดีตเป็นเมืองที่สวยงาม มีเสน่ห์เลื่องลือไปทั่วพระราชอาณาจักร เสน่ห์ของเมืองที่พอจะกล่าวอย่างย่อว่าชาวเมืองสร้างบ้านแปลงเมืองด้วย กฎเกณฑ์ศิลปกรรมอย่างเดียวกัน นั่นคือ อาคารมีขนาด รูปแบบ วัสดุก่อสร้างเช่นเดียวกัน อาคารใช้มาตราส่วนของมนุษย์ (Human Scale) เป็นหลัก ไม่ ชิงเด่นกันและกัน อาคารศาสนาเท่านั้นที่บรรจุความอลังการเต็มที่ อันเป็นผลของความศรัทธาของชาวเมืองที่มีต่อสิ่งที่ตนเห็นว่าเป็นความดีสูง สุดของชีวิต ทุกบริเวณบ้านเรือนและวัด พืชพันธุ์ไม้จะขึ้นสอดแซม ร่มเงาเขียวชอุ่ม ชาวเมืองยุคนั้นเห็นความสำคัญของพืชพันธุ์ไม้ซึ่งเป็นที่ผลิตอาหาร ให้วัสดุก่อสร้าง ซ่อมแซม เป็นเชื้อเพลิง เป็นร่มที่กรองความร้อนแรงให้บรรเทาลง ให้ภาพที่งามตาเวลาผลิดอกออกผล เป็นที่เพราะเสนาะหูเพราะนกจะมาร้องขาน ให้ความชื่นใจเพราะกลิ่นหอมของไม้ดอก ธรรมชาติรอบนอกเมืองไม่ถูกทำลายลงเช่นปัจจุบัน ความสมบูรณ์ของป่าทำให้น้ำลำธารไม่แล้งและสะอาดตลอดปี วัฒนธรรมประเพณีของท้องถิ่น ชาวเมืองรักษาและปฏิบัติเพราะเชื่อและมั่นใจในการปฏิบัติกิจกรรมนั้น กิจกรรมจึงมีพลัง มีชีวิต และมีคุณค่าสูง
รูปแบบศิลปวัฒนธรรมที่ปรากฏจาก การกระทำของชาวเชียงใหม่ยุคนั้นเป็นสิ่งที่ควรถือว่า เป็นสมบัติของมนุษย์โลกนี้ มนุษย์ที่พัฒนาตนเองขึ้นมาอยู่ในชั้นสูง เพราะมิใช่ชาวเชียงใหม่หรือชาวไทยเท่านั้นที่จะมาชื่นชมปิติยินดีได้ มนุษย์โลกทุกรูปทุกนามย่อมสามารถสัมผัสความงามนั้นได้และเกิดความปิติเช่น เดียวกัน ทรรศนะอุจาดเกิดเพราะชาวเชียงใหม่ไม่เชื่อถือไวยากรณ์ศิลปกรรมเดิม รับความคิดที่ว่าความสำเร็จทางวัตถุเป็นความดีสูงสุดของชีวิต เป็นความจริงอย่างปฏิเสธไม่ได้ว่าโลกตะวันออกยอมรับความเจริญก้าวหน้าทาง วัตถุเทคโนโลยีของชาวตะวันตก ผลที่ชาวตะวันตกได้สร้างอาณานิคมของตนขึ้นหลายแห่งในภูมิภาคโลกตะวันออกทำ ให้เรายอมรับว่าชาวตะวันตกเก่งกว่าเรา และธรรมชาติของคนนั้นก็จะต้องทำตัวเองให้เป็นคนเก่งหรือให้คนเก่งยอมรับตน ให้ได้
ญี่ปุ่นเป็นตัวอย่างที่ดีในเรื่องนี้ ยุคที่ญี่ปุ่นต้องยอมรับความ เก่งกว่าของฝรั่ง คนญี่ปุ่นก็พยายามทำตนและบ้านเมืองของตนให้เหมือนฝรั่ง บ้านเมืองของญี่ปุ่นเกิดการสร้าง ทรรศนะอุจาดขึ้นไม่น้อยในยุคปรับตัวเองครั้งนั้น แต่ต้องชมญี่ปุ่นว่าไวยากรณ์ศิลป์ของญี่ปุ่นมีฐานที่มั่นคงแข็งแรงมาก ช่วยให้ญี่ปุ่นเข้าใจกับปัญหาทรรศนะอุจาดได้เร็ว แก้ไขทันเวลาและสร้างกฎหมายในการป้องกันเรื่องนี้ที่รัดกุมและเอาจริง (กว่าของเรา)
สำหรับไทยเราออกจะโชคไม่ดี รูปแบบของไวยากรณ์ศิลป์ของเราขาดการพัฒนาสืบเนื่อง เมื่อการขยายตัวของวัฒนธรรมตะวันตกเข้ามาถึงประเทศ เราเร่งปรับตัวเองเพื่อให้เขายอมรับ ช่วงนั้นเราหยุดการปรับปรุงไวยากรณ์ศิลป์ เรียกได้ว่าอย่างสิ้นเชิง และหันไปรับรูปธรรมใหม่ อย่างค่อนข้างรีบร้อน ทำให้ขาดการพิจารณาที่รอบคอบว่าอะไรควรไม่ควร เนื่องจากไม่ได้พิจารณาอย่างถูกต้องในการรับรูปธรรมศิลปะต่างถิ่นที่ขยายตัว เข้ามาสู่ประเทศไทยโดยเฉพาะในช่วงสำคัญ ระยะเวลาหลังสงครามโลกครั้งที่สองยุติ เราไม่เข้าใจว่าความมีปัจเจกภาพหรือลักษณะเฉพาะตนซึ่งเป็นปรัชญาของศิลปกรรม ยุคใหม่นั้นจะต้องมีกฎเกณฑ์อะไรบ้างที่ยึดถือประกอบ โดยเฉพาะในเรื่องสถาปัตยกรรมและบริเวณแวดล้อม จึงทำให้การขยายแปลงบ้านเมืองของเราเป็นไปแบบตามอำเภอใจของแต่ละคน ไม่มีกฎเกณฑ์ซึ่งครั้งหนึ่งเราได้ยึดถือเป็นมาตราที่ใช้ร่วมกัน (นอกจากกฎเกณฑ์เทศบัญญัติในเรื่องความแข็งแรง และส่วนเปิดส่วนปิดซึ่งเขียนไว้แต่ก็ถูกละเมิดกันเสมอโดยไม่มีผลลงโทษอะไร)
การ ขยายตัวของการค้าที่รุนแรงที่สุดในประวัติของประเทศ เป็นสาเหตุสำคัญอีกประการหนึ่งที่ทำให้เกิดผลเสียแก่รูปแบบของบ้านเมือง การโฆษณาเร่งเร้าจิตใจ มีผลให้เกิดทรรศนะอุจาดที่มากขึ้นทุกขณะ ป้ายโฆษณาอันใหญ่โตและพิลึกพิลั่น ใช้สีฉูดฉาดเพื่อผลการเตะตาเป็นใหญ่ อาคารร้านค้าซึ่งก็ต้องดำเนินการก่อสร้างเพื่อผลของการเด่นสะดุดตา ทำให้อาคารบ้านเรือนมีรูปแบบในลักษณะ ชิงเด่นกันทั่วไป แล้วในที่สุดก็เลยลามมาถึงอาคารประเภทพักอาศัย ซึ่งจะต้องแสดงความชิงเด่นให้ปรากฏ มีความไม่เหมือนใคร ความแปลกกว่าใคร เหล่านี้เป็นผลมาจากผู้ออกแบบบ้านและเมืองไม่เข้าใจถ่องแท้ในปรัชญา สถาปัตยกรรมสมัยใหม่ และแน่นอนผลคือ ทรรศนะอุจาดในที่สุด
ปัญหาสำคัญอีก ประการหนึ่ง คือการไม่ได้สมดุลย์ระหว่างมนุษย์และที่ทำกิน อันเป็นผลที่เกิดจากการที่รัฐไม่สามารถควบคุมอัตราเกิดของประชากร การกระจายรายได้ การจัดสรรที่ทำกินอันเหมาะสมและการควบคุมพื้นที่ธรรมชาติอันควรสงวนไว้เป็น แหล่งต้นน้ำลำธาร และทรัพยากรธรรมชาติ ทำให้ประชาชนบุกรุกทำลายธรรมชาติลงเพื่อยังชีพอย่างที่เรียกได้ว่ารุนแรงที่ สุดในประวัติศาสตร์ของผืนแผ่นดินนี้ นี่เป็นทรรศนะอุจาดที่กระจายออกกว้างขวางทั่วประเทศและเป็นปัญหาที่ดูจะหนัก ขึ้นทุกที สภาพตามธรรมชาติแวดล้อมที่เคยห้อมล้อมบ้านเมืองของเราก็ร่อยหรอลงไป ส่งผลให้จิตสัมผัสของเราเสื่อมสภาพลง

เป้าหมายของการสร้างบ้านสร้างเมืองที่ควรจะเป็นไป
เนื่อง จากการปลุกระดมในการสร้างฐานะทางเศรษฐกิจได้มีอย่างกว้างขวาง ทำให้เราส่วนใหญ่เห็นว่าความดีสูงสุดของชีวิต คือความเป็นคนมีเงิน คนรวย เมืองทั้งหลายของเราดูจะมีจุดมุ่งหมายที่จะสร้างเพื่อเป็นแหล่งดึงดูดเงิน และมรรควิธีที่นักธุรกิจการเงินส่วนใหญ่ของเราคิดว่าจะได้ผลดีได้นำมาใช้ ก็คือมรรควิธีแบบการค้า การจับใจ การชิงเด่น ยิ่งเด่นดังเท่าไรจะทำให้ได้เงินมากเท่านั้น เป้าหมายของบ้านเมืองในแบบที่กล่าวมานี้ ได้พิสูจน์ชัดเจนขึ้นทุกขณะแล้วว่าเป็นทางที่ผิด เมืองพัทยาคงจะพอเป็นตัวอย่างได้ว่าล้มเหลวสกปรกเพียงไร และนักทัศนาจรที่มีรสนิยมและมีสติปัญญาหลีกเลี่ยงเมืองนี้ นอกจากนักทัศนาจรที่ มันจุกอก” (เช่นนาวีอเมริกันที่เหมาพัทยาแทบทุกสิ่งทุกอย่างรวมทั้งเชื้อโรค)
การ สร้างฐานะทางเศรษฐกิจที่มั่นคงไม่มีวิธีอื่นใดแล้วหรือนอกจากวิธีนี้ ซึ่งอยากจะเรียกว่า วิถีของคนไร้รสนิยม ผลของการสร้างบ้านเมืองที่มีความอุจาดต่าง ๆ ทั้งผลร้ายอันคาดคำนวณค่ามิได้แก่ประชาชนของเรา และรัฐจะต้องทุ่มทุนมหาศาล ในการที่จะซ่อมแซมบูรณะความแหลกยับของกายและจิตใจของประชาชน มากกว่าเงินที่ได้จากนักทัศนาจร และสำหรับสภาพธรรมชาติแวดล้อมของบ้านเมือง มรดกวัฒนธรรมที่สูญสลายไป อาจจะไม่อาจเรียกกลับคืนมาได้ไม่ว่าจะมีเงินมากขนาดไหนก็ตาม
เป้าหมายที่ ควรพิจารณาในการที่จะสร้างบ้านเมืองของเรานั้น เห็นจะไม่หนีไปจากการนำปรัชญาพุทธศาสนามาใช้ นั่นคือ ความร่มเย็น ความสะอาดมัธยัสถ์ ความสงบ ความร่มเย็นคือการที่ให้ธรรมชาติเป็นเด่น มิใช่มนุษย์ พืชพันธุ์ไม้น้อยใหญ่จะต้องสร้างคืนให้แก่แผ่นดิน ตามที่ธรรมชาติท้องถิ่นได้กำหนดมานับแต่โลกนี้เกิด ในภูมิภาคโลกที่ประเทศเราตั้งอยู่นี้ ธรรมชาติกำหนดให้เป็นที่ที่พืชพันธุ์ไม้ขึ้นได้สมบูรณ์และสะพรั่ง เรามีแสงแดดกล้า ความร่มเย็นจะได้จากเงาร่มไม้ใหญ่น้อยกรองความร้อนลง (มิใช่จากเครื่องปรับอากาศ) ธรรมชาติให้ภูมิประเทศแถบนี้เป็นแหล่งผลิตอากาศให้คนหายใจ อันนี้เราควรจะถือว่าเป็นคำสั่งสูงสุดจากธรรมชาติที่มนุษย์จะละเมิดมิได้ เมื่อเราทำลายป่าลงเพื่อการผลิตอาหาร เราก็ต้องทำอย่างประณีตรอบคอบและต้องรักษาสมดุลย์ธรรมชาติที่กล่าวมานี้ไว้ ตลอดเวลา
เมืองควรจะเป็นเมืองแบบอุทยานนคร เชียงใหม่และเมืองไทยเกือบทุกเมืองในอดีตเป็นแบบนี้ กรุงเทพฯ เพิ่งพ้นสภาพอุทยานนครไปยังไม่ถึงร้อยปีดี เชียงใหม่ยังไม่ถึงห้าสิบปีเสียด้วยซ้ำ (คิดแล้วเศร้าใจจริง ๆ ) ขอเสนอว่า ภายในเขตเมืองเก่าของเชียงใหม่ซึ่งมีคูเมืองล้อมอยู่ ควรที่จะให้พืชพันธุ์ไม้เป็นเอก อาคารบ้านเรือนให้ซ่อนตัวอยู่หลังต้นไม้ จะตระหง่านเด่นได้ก็แต่เพียงยอดเจดีย์และโบสถ์วิหาร ต้นไม้ควรเป็นไม้พื้นเมืองหรือไม้ไทย เพื่อความเป็นเอกลักษณะ ง่ายแก่การทำการดูแลรักษา
ความสะอาดและมัธยัสถ์ ข้อนี้เป็นข้อที่สำคัญอย่างยิ่ง โดยเฉพาะเมื่อคิดถึงปัญหาการร่อยหรอของทรัพยากรธรรมชาติและการเติบโตแบบ ระเบิดของประชาชนของเรา ถ้าผู้ที่จะสร้างบ้านเมืองปล่อยให้ใครใคร่สร้าง สร้างแล้ว จะเกิดการขาดแคลนที่ดินวัสดุก่อสร้าง การไม่สมดุลย์แบบนี้จะก่อให้เกิดปัญหานานัปการติดตามมาอีก
ดังได้กล่าวมา แล้ว เชียงใหม่ในอดีตเป็นเมืองที่สร้างขึ้นโดยการใช้มาตรามนุษย์เป็นหลัก นี่คือการประหยัด มนุษย์ใช้เนื้อที่พอสมควรแก่การดำรงชีวิต ใช้วัสดุก่อสร้างพอดี ไม่ฟุ่มเฟือย เราควรนำวิธีการดังเดิมนี้มาใช้ แม้ว่าเราจะมีวิธีการกินอยู่หลับนอนที่แตกต่างไปจากอดีต แต่มนุษย์ปัจจุบันก็คือมนุษย์ซึ่งมีส่วนกว้างยาวไม่แตกต่างกว่าสมัยก่อน เราจะประหยัดเนื้อที่ได้มากกว่าครั้งบรรพบุรุษของเราใช้เสียด้วยซ้ำไป เพราะอุปกรณ์สมัยใหม่ทางวิทยาศาสตร์ประยุกต์ช่วยอำนวยความสะดวก ย่นเวลาและเนื้อที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ วิธีการอยู่อย่างนี้ ความสะอาดจะเป็นผลที่ติดตามมา เพราะเนื้อที่กระชับตัวลง อุปกรณ์ในการดำรงชีวิตไม่ต้องมีมากชิ้นมากอย่าง ดูแลรักษาได้ง่าย และที่สำคัญความสะอาดจะทำให้เรามีแผนการล่วงหน้าในการทำงาน เป็นผู้พิจารณาการกระทำเสมอ และความสะอาดขจัดทรรศะอุจาดไปโดยปริยาย
ความ สงบเป็นสิ่งสำคัญแก่ชีวิตมนุษย์ ความสงบทางสายตามีความสำคัญเท่า ๆ กับความสงบทางหู และทางกาย ความสงบทำให้ชีพจรของเราสม่ำเสมอ มีความปกติ รูปแบบของบ้านเมืองทั้งหมดควรวางเป้าหมายในทางไม่เร่งเร้าอารมณ์
เมือง เชียงใหม่ในเขตเมืองเก่า ไม่ควรให้มีป้ายโฆษณาใด ๆ เกิดขึ้น ถ้าจำเป็นจะต้องมีควรกำหนดขนาด รูปแบบ อาคารทุกชนิดควรให้ต้นไม้เป็นเด่น และไม่ควรสูงเกินยอดไม้ (นอกจากอาคารศาสนาเดิม ดังที่กล่าวไว้แล้ว) รูปแบบอาคารควรกำหนดการใช้วัสดุที่เป็นไปในลักษณะกลมกลืนกับธรรมชาติแวดล้อม เป็นวัสดุที่ผลิตขึ้นในท้องถิ่นถ้าเป็นไปได้ เพื่อผลในการสร้างเอกลักษณ์ของสถาปัตยกรรม และที่สำคัญ รูปแบบอาคารควรจะสะท้อน หรือแสดงการเชื่อมโยงกับวัฒนธรรมเดิมของลานนา (แต่ไม่ใช่การลอกเลียนของเก่าเอาดื้อ ๆ ซึ่งจะเป็นแบบเล่นละครกันไป เวลานี้ก็เห็นกาแล ค.ส.ล.* กันเกลื่อนเมือง ซึ่งการออกแบบเช่นนี้ไร้คุณค่าทางสุนทรียศาสตร์
เรื่อง ทั้งปวงก็พอจะสรุปได้ว่า เป้าหมายของการสร้างบ้านเมืองเชียงใหม่ ควรดำเนินไปในลักษณะอุทยานนคร มีบรรยากาศที่ร่มรื่น สงบ สะอาด สำรวม สิ่งที่เป็นมรดกทางวัฒนธรรมจะต้องได้รับการรักษาดูแลและบูรณะอย่างดีเยี่ยม และที่ถูกรุกล้ำโดยประการใด ๆ จะต้องยุติทันที (เช่น ปักเสาไฟฟ้าตามแนวกำแพงเมืองเดิม ถมคูเมืองสร้างห้องแถว) ลักษณะอุจาดแก้ไขได้ทันทีเวลานี้คือ การปลูกต้นไม้ยืนต้นตามแนวถนนทุกสาย ต้นไม้จะช่วยปิดบังทรรศนะอุจาดของอาคารทั้งหลาย และช่วยให้ความคิดแก่ผู้จะคิดสร้างอาคารประเภท ชิงเด่นว่า สร้างไปก็ไร้ประโยชน์ ต้นไม้บังหมด ในที่สุดก็คงจะเลิกการสร้างความชิงเด่นไปเอง ต้นไม้ที่เลือกชนิดให้ถูกต้องจะสร้างเอกลักษณะให้แก่เมือง เป็นที่อันร่มเย็นไม่ใช่เฉพาะมนุษย์เท่านั้น แม้แต่นกก็จะมาร่วมอาศัยและตอบแทนชาวเมืองด้วยเสียงร้องไพเราะ เช่นนกปรอทหัวโขนซึ่งเป็นนกเสียงดี รูปก็งาม และยังบินกันทั่วบริเวณสวนของเชียงใหม่ จะยังไม่สายเกินไปที่จะสร้างอุทยานนคร
ขอให้ทรรศะอุจาดจงอย่างได้ผุดบังเกิดอีกเลยในนครแห่งนี้หลังจากที่การสัมมนาครั้งนี้จบลง
(ที่มา:หนังสือแสงอรุณ 2)

ผลงานด้านภูมิสถาปัตยกรรม

ท่านได้มีผลงานออกแบบสวนรัฐสภา ได้มีโอกาสออกแบบงานประติมากรรมในสวนแห่งนี้ด้วย


รูป ปฏิมากรรมโลหะเชื่อม ลอยตัวในสระสะท้อนเงาหน้าทางขึ้นลงด้านหน้าของตึกประชุม งานชิ้นนี้ทำที่โรงงานนครราชสีมาโดยได้รับคำแนะนำทางเทคนิคและอุปกรณ์จาก อ.ดิเรก มานะพงศ์

ผลงาน CERAMIC MURAL PAINTING(อาคารเรียนโรงเรียนกรุงเทพคริสเตียน)
     ศิลปกรรมภาพผนังเคลือบดินเผากลางแจ้ง (CERAMIC MURAL PAINTING) ซึ่งเป็นผลงานรังสรรค์ของ รศ.แสงอรุณ รัตกสิกร ประดับอยู่บริเวณอาคาร โดยงานเซรามิค ทั้ง 5 ชิ้นนี้ อาจารย์แสงอรุณได้ออกแบบและติดตั้งควบคู่ไปกับกรสร้างอาคารเรียน   ส่วนสาเหตุที่อาจารย์แสงอรุณ มาสร้างภาพเซรามิคให้โรงเรียนนั้น เป็นเพราะทางโรงเรียนต้องการศิลปะที่ทันสมัยแฝงความเป็นไทย และคงอยู่ได้ทั้งในปัจจุบันและอนาคต ให้สมกับที่โรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนจะต้องมองไปข้างหน้าเพื่อแสวงหาสิ่งที่ ดีกว่า ประกอบกับอาจารย์แสงอรุณ
     งานภาพผนังเคลือบดินเผาทั้ง 5 ชิ้นนี้จัดเป็ฯศิลปะแบบ Visual Art คือสื่อความหมายทางตา มีทั้งส่วนที่เรียบง่าย และส่วนที่เป็นกึงนามธรรม (Semi Abstract) ซึ่งงานลักษณะนี้ จัดเป็นงานสร้างสรรค์ ไม่ใช่งานลอกเลียน หรือเขียนให้เหมือนจริง และที่สำคัญทำให้ผู้ดู ดูแล้วเกิดความคิด ต้องพยายามศึกษาค้นคว้า หรือตั้งคำถาม ถามตนเอง ดูว่าสิ่งทั้งหมดนี้เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับอะไร ถึงแม้แต่ละคนจะรู้สึกสัมผัสได้ไม่เท่ากันก็ตาม เช่นชาวคริสต์จะสัมผัสได้ในแนวทางหนึ่ง ส่วนคนที่สนใจในศิลปะก็อาจจะสัมผัสได้ในอีกแนวทางหนึ่ง ซึ่งก็นับว่างานหเหล่านี้มีคุณค่าทางศิลปะแฝงอยู่ในตัว
      นอกจากนี้การใช้ความคิดริเริ่ม เพื่อจะสื่อผลงานศิลปะในแนวจิตกรรมให้คงอยู่คู่กับสถาปัตยกรรมอย่างถาวรนั้น การใช้ภาพผนังเคลือบดินเผาจะเป็นวิธีที่ดีที่สุดเพราะทนแดดทนฝน เหมาะกับการตั้งนอกอาคาร อาจจะกล่าวได้ว่าวิธีนี้เป็นการนำแนวศิลปะในรูปแบบต่างๆมารวมไว้ด้วยกัน ทั้งศิลปะกับชีวิตประจำวันและศิลปะกับสิ่งแวดล้อม ทำให้งานชิ้นน้จัดได้ว่ามีคุณค่าทางการออกแบบด้วย
      จะเห็นได้ว่าผลงานเซรา มิคของอาจารย์แสงอรุณนั้นเป็นงานที่มีคุณค่าทางประวัติสาสตร์ คุณค่าทางด้านศิลปะ และคุณค่าทางด้านออกแบบ ซึ่งความหมายแท้จริงที่แฝงอยู่ในตัวผลงานเหล่านั้น คงไม่มีใครบอกได้ดีเท่ากับตัวของอาจารย์แสงอรุณเอง แต่น่าเสียดายปัจจุบันอาคารแห่งนี้ถูกทุบทำลายเพื่อสร้างอาคารเรียนใหม่แล้ว คงเหลือแต่ความทรงจำเท่านั้นเอง

ผลงานด้านงานภาพเขียนบางส่วน

อ.แสงอรุณ ได้รับอิทธิพลในการวาดภาพดินสอ และยกย่อง ทีโอดอร์ คอสกี้ ชาวฮังการี เป็นครูใหญ่ในการวาดภาพ Outdoor sketch เพราะ ทีโอดอร์ คอสกี้เป็นผู้ที่ขยายขอบของภาพเขียนดินสอออกไปโดยการเหลาดินสอแบนแบบปากเป็ด ซึ่งถือได้ว่าเป็นเอกลักษณ์ของท่านอย่างแท้จริง

ภาพวาดอาจารย์นารถ โพธิประสารท(ผู้ก่อตั้งคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย)
ภาพวาด คตทินกร
เครื่องราชอิสริยาภรณ์
  • 2493 เบญจมาภรณ์มงกุฎไทย
  • 2494 เหรียญพระบรมราชาภิเษก ร.9
  • 2496 เบญจมาภรณ์ช้างเผือก
  • 2498 จตุรถาภรณ์มงกุฎไทย
  • 2500 จตุรถาภรณ์ช้างเผือก
  • 2510 ตริตาภรณ์มงกุฎไทย
  • 2512 ทวิติยาภรณ์มงกุฎไทย
  • 2515 เหรียญจักรพรรดิมาลา
  • 2517 ทวิติยาภรณ์ช้างเผือก
  • 2520 ประถมาภรณ์มงกุฎไทย
     ความคิด   ข้อเขียน ภาพเขียนและงานประติมากรรมของรองศาสตราจารย์ แสงอรุณ รัตกสิกร ปรากฏมาหลายสิบๆปีแล้ว แต่ทว่าผลงานต่างๆเหล่านั้น ยังคงคุณค่าควรแก่การที่สถาปนิกทั้งรุ่นเก่ารุ่นใหม่ และผู้ใฝ่รู้ทั้งหลายจะได้มีไว้เพื่อศึกษาและยึดถือนำไปปฏิบัติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยามที่สังคมกำลังหลงทางกำลังถูกครอบงำด้วยความโลภ กำลังอยู่ในความอุจาดแทนที่จะดำรงชีวิตอยู่อย่างสามัญ
     "...ความสงบระงับ ควรจะเป็นเป้าหมายในการดำรงชีวิตของเรา และด้วยวิธีนี้เท่านั้นที่ความเป็นมนุษย์ของเราจะพัฒนาสูงขึ้น..."
(ตึก ต้นไม้ และแสงอรุณ . . . อ. แสงอรุณ รัตกสิกร คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย)



 


วันอาทิตย์ที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2553

***...ครั้งหนึ่งในชีวิตกับทริปอาจารย์จิ๋ว...***

วันที่ 10 กรกฎาคม 2553  (Intro Field Trip)
บ้านเขาแก้ว
   ก่อนที่จะเริ่มต้นการเดินทางอันยาวนานทั้ง 9 วันก็จะมีการ Intro Field Trip 
กันที่ "บ้านเขาแก้ว ของ อ.ทรงชัย จังหวัด สระบุรี"  การเดินทางจากคณะมายังสระบุรีใช้เวลาไม่นานก็มาถึงบ้านเขาแก้ว   ความรู้สึกแรกได้สัมผัสคือบรรยากาศที่ร่มรื่นอบอวนไปด้วยธรรมชาติ   ตั้งแต่ซุ้มประตูหน้าทางเข้าบ้านที่ใช้การตกแต่งด้วยต้นไม้มาปกคลุมทำให้เกิดความหน้าสนใจ
ซุ้มประตูหน้าบ้าน
  และเมื่อเข้ามาก็จะพบกับศาลาที่ตรงกลางเป็นทางเดินสำหรับเข้าบ้านและยังเป็นที่นั่งพักผ่อนหรือใช้รับแขกก่อนที่จะเข้าบ้านและเป็นการเชื่อมกันระหว่างคูน้ำหน้าบ้านเข้ากับพื้นที่บ้านได้เป็นอย่างดีและเิกิดความสวยงามอีกด้วย
ศาลาทางเดิน
   เมื่อเดินผ่านศาลามาก็จะพบกับลานเดินซึ่งถือเป็นเอกลักษณ์ของบ้านไทยที่สะท้อนประโยชน์ใช้สอยและวิถีชีวิตของคนไทยได้อีกด้วย...
ลานดินหน้าบ้าน
    บริเวณหลังบ้านจะกั้นพื้นที่ด้วยคูน้ำเช่นเดิมและมีซุ้มประตูเชื่อมพื้นที่ระหว่างพื้นที่หน้าบ้านกับพื้นที่ด้านหลังซึ่งจะประกอบด้วยเรือนไทย 3 หลังที่สามารถเดินเชื่อมถึงกันได้

ซุ้มประตู
    และมีบ่อน้ำอยู่ตรงกลางที่โอบล้อมไปด้วยเรือนไทยทั้ง 3 เรือนเป็นพื้นที่ที่มีบรรยากาศดีมาก   ร่มเย็นและแวดล้อมไปด้วยธรรมชาติทำให้นึกถึงบรรยากาศของบ้านเรือนไทยในสมัยก่อนและบางมุมก็ยังคุ้นตาเหมือนฉากในละครโทรทัศน์ย้อนยุคในหลายๆเรื่องที่เคยไปดู   
อ.ทรงชัยเล่าว่ามีละครมาถ่ายอยู่หลายเรื่อง

    หลังจากอิ่มเอมกับบรรยากาศที่สุดแสนเกินกว่าจะบรรยายก็ข้ามถนนไปยังฝั่งตรงข้ามกับบ้านเขาแก้ว   ก็จะพบกับ "หอวัฒนาธรรมพื้นบ้านไทยวน"


ลานการแสดง
    หอวัฒนาธรรมพื้นบ้านไทยวนเป็นสถานที่ที่รวบรวมศิลปะวัฒนธรรม  ประเพณีของชาว
ไทยวนที่ย้ายมาตั้งถิ่นฐานที่สระบุรี   ลักษณะตัวอาคารเป็นแบบไทยภาคเหนือดังเดิมมีการจัดสรรพื้นที่ในแต่ละการใช้งานอย่างชัดเจนไม่ว่าจะเป็น   ลานการแสดง   พื้นที่พักผ่อน   พื้นที่รับประทานอาหารและโฮมสเตย์เป็นต้น
บรรยากาศติดริมแม่น้ำ
รุปแบบของสถาปัตยกรรม

   บรรยากาศและอาหารพื้นถิ่นทำให้ผมรู้สึกประทับใจในความเป็นชาวไทยวนเป็นอย่างมาก   ไม่น่าเชื่อว่าจากกรุงเทพเพียงไม่กี่ร้อยกิโลจะมีสถานที่ที่เต็มไปด้วยความเป็นท้องถิ่น   บรรยากาศที่สวยงามและน้ำใจของชาวไทยวน...   



    ปิดท้ายด้วยการบรรยายสรุปของอาจารย์ทรงชัยกับอาจารย์จิ๋วและอาจารย์ทุกท่านที่ได้เดินทางไปด้วยกัน...ก่อนเดินทางกลับไปแวะที่ตลาดเก่าร้อยปี(เกี๊ยวกรอบของเค้าสุดยอดจริงๆ)
และเดินทางกลับกรุงเทพด้วยความประทับใจ...^^



วันที่ 24 กรกฎาคม 2553 (วันแรกของการเดินทาง)

    และแล้วการเดินทางสู่ Trip ในตำนานก็เริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการ   จากลาดกระบังรถก็มาจอดพักรับประทานอาหารที่ตัวเมืองของจังหวัดอุทัยธานี





    บรรยากาศบ้านเรือนสมัยเก่าประกอบกับวิถีชีวิตที่เรียบง่ายของผู้คนและที่สำคัญอาหารสุดอร่อยเริ่มทำให้ผมประทับในจังหวัดเล็กๆแห่งนี้ไม่น้อย(ข้าวมันไก่/เป็ดพะโล้/หมี่กรอบ อร่อยจริงครับ)...


    สถานที่ที่รถจอดเป็นแห่งแรกคือบริเวณสะพานห่างจากตัวเมืองจังหวัดเล็กน้อย   เรือนแพของชาวบ้านอยู่ติดกันคล้ายชุมชนย่อมๆบนน้ำ   ชุมชนริมน้ำแห่งนี้มีรูปแบบของสถาปัตยกรรมแบบเรือนแพ   มีการใช้วัสดุสมัยใหม่การประยุกต์ใช้กับวิถีชีวิตแบบดังเดิมเช่นการใช้สังกะสีมาทำหลังคา   บรรยากาศและวิถีชีวิตของชาวบ้านดูท่าทางจะชิลไม่น้อยเลยทีเดียว...
   สถานที่ต่อมาคือชุมชนริมน้ำบริเวณวัดชุมชนแห่งนี้ได้แสดงลักษณะที่ชัดเจนในความสัมพันธ์ของวิถีชีวิตกับสายน้ำ   ไม่ว่าจะเป็นการเดินทางและการเป็นอยู่   เรือนแพทุกหลังมีห้องน้ำที่เหมือนกันเนื่องจากทางจังหวัดไปจัดทำและมอบให้เชื่อบ้านได้ใช้กัน


บรรยากาศริมน้ำของชุมชนริมน้ำแห่งนี้

    หลังจากนั้นก็มุ่งหน้าเดินทางขึ้นเหนือต่อไปและแวะพักทานอาหารเย็นที่ตลาดกลางคืน จังหวัดกำแพงเพชร   หลังจากนั้นก็มุ่งหน้าสู่จังหวัดลำปางและถึงที่พักประมาณเกือบเที่ยงและต่างพักผ่อนรอการเดินทางในวันรุ่งขึ้น...



วันที่ 25 กรกฎาคม 2553 (วันที่ 2)

   ในวันที่ 2 เริ่มต้นด้วยมื้อเช้าด้วยอาหารท้องถิ่นประกอบกับสัมผัสวิถีชีวิตแบบล้านนาพร้อมกับเดินทางไปยังวัดที่เก่าแก่ที่สุดในจังหวัดลำปางนั้นคือ "วัดไหล่หิน"

บรรยากาศลานดินบริเวณหน้าวัดและอาจารย์จิ๋วกำลังอธิบายความเป็นมาของวัด


   นับเป็นวัดที่มีรูปแบบของสถาปัตยกรรมแบบล้านนาดังเดิม   มีวิหารซึ่งประดิษฐานพระประธานโครงสร้างของหลังคาเป็นไม้ทั้งหมด   มีการบูรณะอย่างสม่ำเสมอ   โดยรอบทำการปิดล้อมด้วยวิหารคดโดยมีลานทรายอยู่ระหว่างกลางและซุ้มประตูทำด้วยปูนปั้นแสดงให้เห็นถึงความวิจิตรสวยงาม...


วิหารคดและลานทราย
   เนื่องจากวัดไหล่หินมีขนาดไม่ให้มากสิ่งที่ได้รับจากวัดไหล่หินคือใช้ใช้พื้นที่ปิดล้อม  การเชื่อมต่อพื้นที่   การใช้วัสดุและต้นไม้ที่ช่วยบรรยากาศร่มรื่นได้เป็นอย่าง(อ.น้ำบอกว่าเหมาะกับการออกเเบบรีสอร์ทเป็นอย่างมาก)...

วัดพระธาตุลำปางหลวง
   จุดหมายต่อมาคือ "วัดพระธาตุลำปางหลวง" เป็นวัดขนาดใหญ่และมีความสวยงามเป็นอย่างมาก   ลักษณะเด่นของวัดทางล้านนาคือการใช้แกนที่วางให้   ซุ้มประตู   วิหารและพระธาตุวางอยู่ในแกนเดียวกันและการใช้ลานทรายในการเชื่อมต่อพื้นที่




บริเวณทางเิดินที่มีการใช้วัสดุใหม่
   อาจารย์จิ๋วได้กล่าวว่าใช้พัฒนาในด้านต่างๆของวัด  เช่นลานหน้าวัดหรือจะเป็นทางเดินที่มรการปรับปรุงเพื่อความสะดวกสบาย   แต่บางครั้งอาจเป็นการทำลายสิ่งที่มีอยู่เดิมและสถาปัตยกรรมท้องถิ่นได้ดังนั้นจึงควรมีการศึกษาจนเกิดความเข้าใจในสิ่งนั้นๆก่อน...




   จุดหมายต่อไปคือ "วัดปงยางคก" เป็นวัดที่มีต้นโพธิ์ขนาดใหญ่ให้ร่มเงาและมีรั้วขนาดไม่สูงปิดล้อมและเป็นการใช้ระนาบนอนเพื่อเป็นการนำสายตาไปสู่ภายใน


วิหารพระแม่เจ้าจามเทวี
  
   อาจารย์จิ๋วได้อธิบายถึงการใช้ที่ว่างในการ decorate เพื่อเชื่อมไปถึงสภาพภาพแวดล้อมภายในวัด (ใช้พื้นที่ว่าง decorate สุดยอดไปเลย) และจุดเด่นที่สำคัญคือการใช้เส้นตั้งและเส้นนอนของวัดนี้มีความน่าสนใจเป็นอย่างมาก...เเละก่อนที่จะกลับที่พักได้ไปแวะที่หมู่บ้านเล็กแห่งหนึ่งจำได้ว่าเค้าสร้างบ้านจากวิถีชีวิตและการใช้งานอย่างแท้จริง...
(ไม่มีรูปนะครับพอดีแบตหมด)...^^






วันที่ 26 กรกฎาคม 2553 (วันที่ 3)


   จุดหมายแรกของวันที่ 3 คือ "วัดพระแก้วดอนเต้าสุชาดาราม" สมัยก่อนวัดนี้ได้แบ่งเป็น 2 วัดคือ "วัดพระแก้วดอนเต้า" และ "วัดสุชาดาราม" ภายหลังจึงรวมเป็นวัดเดียวกัน 





ในส่วนของวัดสุชาดารามมีรูปแบบสถาปัตยกรรมล้านนาฝีมือของช่างชาวเชียงแสน

ในส่วนของวัดพระแก้วดอนเต้าเป็นรูปแบบสถาปัตยกรรมแบบพม่า
   จุดหมายต่อไปคือบ้านชาวบ้านที่อยู่ระหว่างทางเจอสวยโดดใจเมื่อไหร่เจอลงเมื่อนั้น...




   บ้านหลังนี้โดดเด่นที่การตกแต่งที่เรียบง่ายและสะท้อนวิถีชีวิตของชาวบ้านได้เป็นอย่างดี



   หลังนี้โดดเด่นที่การใช้ไม้ระเเนงตีตามตั้งในส่วนที่เชื่อมต่อมาจากในครัวและมีตะใคร่น้ำมีเกาะเกิดความสวยงามเป็นอย่างมาก...




   จุดหมายต่อมาคือ "วัดข่วงกอม" เป็นวัดเก่าแก่อายูกว่า 200 ปี   และ ดร.วทัญญู ได้ออกแบบและทำการบูรณะซ่อมแซมใช้วัสดุและเทคโนโลยีสมัยใหม่มาใช้แต่ยังคงรูปแบบของสถาปัตยกรรมดั้งเดิมไว้ได้อย่างสวยงาม...

วิหารของวัด




ตกแต่งด้วยระแนงในแนวนอนประกอบกับหน้าต่าง 2 บานซ้อนกันสวยสุดๆ
   จุดหมายสุดท้ายของวันนี้อยู่ที่ "อุทยานแห่งชาติแจ้ซ้อน" ซึ่งมีน้ำตกและบ่อน้ำพุร้อนเป็นการผ่อนคลายหลังจากเหน็ดเหนื่อยกันมาทั้งวัน(น้ำร้อน ร้อนจริงๆครับ...)หลังจากนั้นก็เดินทางกลับที่พัก...





วันที่ 27 กรกฎาคม 2553 (วันที่ 4)

   เช้าวันนี้เริ่มต้นด้วยข้าวซอยและขนมปังหน้าหมูหลังจากเลื่องลือมาหลายวันซึ่งวันนี้เป็นวันสุดท้ายที่จะพักที่ลำปางเลยของจัดซะหน่อย...


   จุดหมายแรกของวันนี้อยู่ที่ "วัดปงสนุก" ด้านบนเป็นที่ประดิษฐานพระธาตุจอมไคล   ส่วนวิหารเป็นทรงมณฑปแบบล้านนามีพระประธานสี่องค์หันหลังติดกัน   และวัดนี้ยังมีการใช้วัสดุในท้องถิ่นในการตกแต่งในส่วนต่างๆของวัดอีกด้วย...


   และจุดหมายต่อไปคือ "วัดศรีรองเมือง" แต่ที่น่าเสียดายคือวัดอยู่ในระหว่างการบูรณะแต่ก็ยังสามารถไปไปดูได้   วัดนี้มีรูปแบบสถาปัตยกรรมแบบพม่าซึ่งสร้างโดยช่างชาวพม่าเช่นเดียวกันซึ่งสถาปัตยกรรมรูปแบบพม่านั้นมีความโดเด่นด้านการประดับตกแต่งเป็นอย่างมาก




ลักษณะการตกแต่งภายใน
   เราแวะทานข้าวกลางวันกันบริเวณตลาดใกล้กับสถานีรถไฟลำปางซึ่งมีความสวยงามเป็นอย่างมาก...


   จุดหมายต่อไปของเราอยู่ที่จังหวัดแพร่ก่อนที่จะเดินทางต่อไปยังจังหวัดสุโขทัย  




   บ้านของชาวบ้านในหมู่บ้านนี้แสดงในเห็นถึงการเข้ามาของวัสดุสมัยใหม่และการผสมผสานระหว่างวัสดุใหม่กับวัสดุท้องถิ่นได้อย่างน่าสนใจ   และการใช้พื้นที่ที่สะท้อนวิถีชีวิตได้อย่างลงต้ว   เดินถ่ายรูปได้แปปเดียวฝนก็ตกเลยตีรถยาวสู่ที่พักในจังหวัดสุโขทัย



วันที่ 28 กรกฎาคม 2553 (วันที่ 5 ตรงกับวันเกิดของผมพอดี..^^)

   ตั้งใจว่าจะตื่นแต่เช้าเพื่อใส่บาตรแต่ฟ้าฝนไม่เป็นใจจึงได้แต่มองพระเดินบิฑบาตรกลางสายฝน   วันนี้เป่าหมายของเรามีเพียงที่เดียวคือ "อุทยานประวติศาสตร์สุโขทัย"

   สถานที่แรกคือ "สรีดภงส์" หรือ "ทำนบพระร่วง" ทำหน้าที่เป็นเหมือนเขื่อนกักเก็บน้ำไว้หล่อเลี้ยงผู้คนภายในเมือง
วัดมังกร
วัดมหาธาตุ
ทางเข้าวัดมหาธาตุ
แนวกำแพงเมืองและพื้นที่โดยรอบ
พระประธาน
สภาพโดยรอบวัดมหาธาตุ
   เมื่อถึงมิ้อเที่ยงได้ไปแวะทานอาหารที่จุดบริการนักท่องเที่ยวซึ่งมีการออกแบบตกแต่งในรูปแบบของสถาปัตยกรรมสุโขทัยดั้งเดิมโดยใช้วัสดุภายในท้องถิ่น   โดยตอบสนองการใช้พื้นที่โดยยึดการวางผังแบบสุโขทัยอย่างชัดเจน

วัดพระพายหลวง
 
วัดศรีชุม
วัดศรีสวาย
   การที่ได้มาชมโบราณสถานต่างๆเหล่านี้ทำให้ผมรู้สึกภาคภูมิใจและสำนักในความสามารถ   ภูมิปัญญา   และความกล้าหาญของบรรพบุรุษไทย   แนวความคิด   การประดับตกแต่งล้วนสามารถนำกลับมาใช้ได้จริงในงานปัจจุบัน



วันที่ 29 กรกฎาคม 2553 (วันที่ 6)

   เดินทางจากจังหวัดสุโขทัยสู่จังหวัดอุตรดิตถ์ระหว่างทางได้แวะถ่ายรูปบ้านอยู่หลายหลัง


หลังนี้น่าสนใจตรงที่การตกแต่งด้วยระแนงไม้ทั้งเส้นตั้ง-เส้นนอน-เส้นทแยง
หลังนี้น่าสนใจตรงการยื่นชายคาที่ดูเชื้อเชิญ
หลังนี้น่าสนใจตรงที่การทิ้งชายคามารับบันไดทำให้บ้านดูโดเด่นและน่าสนใจ
   หลังจากนั้นเดินทางต่อไปยัง "วัดดอนสัก" เป็นวัดที่มีการตกแต่งที่เนียบมากในส่วนของศาลาและส่วนของวิหารเป็นเก่าแก่ที่มีความสวยงามเป็นอย่างมากโดยเฉพาะประตูไม้แกะสลักบานใหญ่   เราแวะทานอาหารที่นี่และถวายไฟพรรษาที่วัดแห่งนี้อีกด้วย


วิหารของวัด

บริเวณภายในศาลา
บานประตูไม้แกะสลัก
หอระฆัง

วันที่ 30 กรกฎาคม 2553 (วันที่ 7)

    วันนี้เรามีจุดหมายเดียวคือ "อุทยานประวัติศาสตร์ศรีสัชนาลัย"  อ.ศรีสัชนาลัย จ.สุโขทัย


วัดพระศรีรัตนมหาธาตุเชลียง
พระประธาน



วัดโคกสิงคาราม


วัดกุฎีราย (ลักษณะโครงสร้าง pointed arch)

   หลังจากนั้นไปต่อที่ "ศูนย์ศึกษา-อนุรักษ์เตาสังคโลก" ซึ่งเป็นศูนย์ที่ให้ข้อมูลเกี่ยวกับเครื่องสังคโลก   เตาเผา   และประวัติความเป็นมาของเครื่องสังคโลก   และได้ออกแบบโดยนำแนวความคิดและรูปแบบสถาปัตยกรรมสุโขทัยแบบศรีสัชนาลัยมาใช้ได้อย่างน่าสนใจ   

ภายนอกอาคาร

ภายในอาคาร

ส่วนของการจัดแสดง
    หลังจากนั้นเดินทางไปชมในส่วนต่างๆของ "อุทยานประวัติศาสตร์ศรีสัชนาลัย"


วัดเจดีย์เก้ายอด

วัดนางพญา

วัดเจดีย์เจ็ดแถว


วัดช้างล้อม
    หลังจากที่เดินถ่ายรูปมาทั้งวันอย่างหนึ่งที่ผมรู้สึกคือว่า ชาติไทยของเราไม่ได้น้อยหน้าชาติได้ในโลกเลยไม่ว่าจะเป็นเรื่องของสถาปัตยกรรมและภูมิปัญญา...



วันที่ 31 กรกฎาคม 2553 (วันที่ 8)

   สำหรับวันที่ 8 ของการเิดนทางครั้งนี้เรามุ่งหน้าสู่ อำเภอกงไกรลาศ จังหวัดสุโขทัย   เพื่อเยี่ยมชมบ้านของคุณลุงของอาจารย์ตี๋ครับ...บ้านหลังนี้ผู้รู้สึกว่ามันน่ามองไปทุกมุมเลยทีเดียว   การจัดสรรพื้นที่ใช้สอยภายในเป็นไปอย่างลงตัว   การตกแต่งก็เกิดจากการใช้สอยจริงเป็นบ้านที่มีความสวยงามและน่าสนใจมากครับ...

ที่นั่งหน้าบ้าน


lสนามหญ้า+ลานดิน...ลงตัวสุดๆ





ของกินเพียบ...!!!

    จุดหมายต่อไปของเราคือ "สนามบินสุโขทัย" สนามบินที่ออกแบบโดยรุ่นพี่ของเราเอง   แนวความคิดหลักของการออกแบบสนามบินคือการออกแบบเมืองสุโขทัยทั้งการวางผัง   วัสดุ   รูปแบบของสถาปัตยกรรม   สนามบินสุโขทัยแห่งนี้เปรียบเสมือนการสำนักถึงคุณค่าของประวัติศาสตร์   อาจารย์บอกว่าสถาปัตยกรรมไทยท้องถิ่นจะไม่มีวันสูญหายไปถ้าหากเรายังสำนักและระลึกถึงอยู่ตลอดเวลา(ซึ้งมากครับ)   วัสดุก่อสร้างที่ใช้ก็ล้วนหาได้ในท้องถิ่นและเป็นการสร้างงานสร้างรายได้แก่คนในท้องถิ่นอีกด้วย...


ทางเข้าด้านหน้า

โครงสร้างภายใน

บริเวณที่นั่งพักผู้โดยสาร

มุมมองจากรันเวย์
โรมแรมสุโขทัย
บ่อน้ำของโรมแรม
อาคารห้องพักและสระว่ายน้ำ
   วันที่ 1สิงหาคม 2553 (วันที่ 9 วันสุดท้ายของการเดินทาง)

    หลังจากจัดข้าวของเพื่อเดินทางกลับจุดหมายที่แรกในวันนี้คือ จังหวัดพิษณุโลก และวัดแรกที่เดินทางมาถึงคือ "วัดราชบูรณะ" และวัดต่อมาคือ "วัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร" วัดที่ซึ่งเป็นที่ประดิษฐานองค์ "พระพุทธชินราช"

วัดราชบูรณะ

วัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร

องค์พระพุทธชินราช
    หลังจากที่ทำการสักการะองค์พระพุทธชินราชเสร็จสิ้นเพื่อเป็นสิริมงคลก็มุ่งหน้าเดินทางกลับกรุงเทพมหานคร   ทิ้งไว้แต่ความประทับใจและความภาคภูมิใจ...
    สุดท้ายนี้ขอขอบคุณอาจารย์ทุกท่านที่เสียสละเวลาพาพวกเรา สถ. 5 ทั้งชั้นปี   ไปพบกับประสบการณ์ที่เต็มไปด้วยคุณค่าของสถาปัตยกรรม   ประสบการณ์ที่ไม่สามารถหาซื้อได้ที่ไหนแต่ต้องแลกกับหยาดเหงื่อ  แสงแดด   ถามว่าเหนื่อยมั้ย...ก็ต้องตอบว่าเหนื่อย   ถามว่าดำมั้ย...ก็ต้องตอบว่าดำ   ถามว่าคุ้มค่ามั้ย...ไม่สามรถหาคำตอบที่สื่อความหมายได้หมดจริงๆ...


 ...ขอบคุณมากครับ...